เรื่องของ "น้ำยาแอร์" เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทุกบ้านต้องเคยประสบปัญหาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น น้ำยาแอร์หมด เติมน้ำยาแอร์ และอีกสารพัดสิ่ง แล้วน้ำยาแอร์คืออะไร? สำคัญแค่ไหน ต้องเติมบ่อยเท่าไหร่ มีน้ำยาแอร์อะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว
น้ำยาแอร์คืออะไร?
น้ำยาแอร์ หรือที่เราเรียกกันว่า สารทำความเย็น (Refrigerants) เป็นสารของเหลวที่ทำให้เกิดความเย็น เป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ ดูดซับ และนำพาความร้อน เพื่อให้เกิดการขยายตัว หรือมีการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวให้กลายเป็นไอหรือแก๊ส และสารดังกล่าวเมื่อกลายเป็นไอแก๊สแล้ว จะสามารถคืนตัวเปลี่ยนสถานะกลายเป็นของเหลวได้อีกครั้ง
ชนิดของน้ำยาแอร์ มีอะไรบ้าง?
อักษรย่อในการใช้เรียกชื่อสารทำความเย็น หรือ น้ำยาแอร์ เบอร์ต่างๆ จะถูกขึ้นต้นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ "R" ซึ่งย่อมาจากคำว่า Refrigerant หรือน้ำยาแอร์นั่นเอง ซึ่งน้ำยาแอร์มีมากมายหลายประเภท โดยมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป น้ำยาแอร์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด คือ R-22 R-32 และ R-410A
น้ำยาแอร์ R-22
เป็นสารทำความเย็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน มีค่า ODP (ดัชนีวัดการทำลายโอโซน) = 0.05ค่า GWP (ดัชนีชี้วัดผลกระทบภาวะโลกร้อน) = 1810 และมีค่า Cooling Capacity (ประสิทธิภาพการทำความเย็น) = 100 ข้อดีคือมีราคาถูกกว่าน้ำยาแอร์ชนิดอื่นๆ ส่วนข้อเสียที่ร้ายแรงคือส่งผลต่อการทำลายชั้นโอโซน อาจทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก และหากรั่วออกมาสู่อากาศจำนวนมากจะส่งผลอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอีกด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังและความชำนาญในการใช้งาน
น้ำยาแอร์ R-32
เป็นสารทำความเย็นที่ถูกพัฒนามาเพื่อทดแทนชนิด R-22 โดยมีข้อดีที่มีค่า ODP ที่ต่ำกว่าสารทำความเย็นชนิด R-22 จึงทำให้ไม่ทำลายชั้นโอโซนในชั้นบรรยากาศแต่ข้อเสียก็ คือราคาจะแพงกว่า และถึงแม้ว่าจะไม่ทำลายชั้นโอโซนแต่ก็ยังส่งผลต่อภาวะเรือนกระจกอยู่ มีค่า ODP (ดัชนีวัดการทำลายโอโซน) = 0 ค่า, GWP(ดัชนีชี้วัดผลกระทบภาวะโลกร้อน) = 675 และมีค่า Cooling Capacity (ประสิทธิภาพการทำความเย็น) = 160
น้ำยาแอร์ R-410A
เป็นสารทำความเย็นรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดการเกิดก๊าซเรื่อนกระจก ข้อดี ประหยัดพลังงานมากที่สุดและราคายังถูกกว่า แต่ข้อเสียคือสามารถติดไฟได้ จึงต้องใช้ความระมัดระวังและความชำนาญในการใช้งาน
แอร์บ้านต้องเติมน้ำยาแอร์บ่อยแค่ไหน?
สารทำความเย็นที่มีอยู่ในระบบทำความเย็นโดนปกติแล้วจะไม่หมดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสารเหล่านี้จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างต่อเนื่องภายในระบบของเครื่องปรับอากาศ ยกเว้นกรณีที่มีการรั่วไหล หรือ พบปัญหาในระบบหมุนเวียน ซึ่งอันที่จริงแล้วสารทำความเย็นจะมีอายุการใช้งานยาวนานหลายปี หรือแอร์บางเครื่องไม่จำเป็นต้องเติมสารทำความเย็นเลย สังเกตสัญญาณของการรั่วไหลของสารทำความเย็นได้ง่ายๆ ดังนี้
- มีลมร้อนมาจากช่องระบายอากาศ
- ค่าไฟฟ้าสูงกว่าปกติ
- เกิดน้ำแข็งบนสายสารทำความเย็น
- คอยล์เย็นจนเกิดการแช่แข็ง
- มีเสียงฟู่ หรือ เป็นฟองออกมาจากท่อสารทำความเย็น
ข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนเติมน้ำยาแอร์
- น้ำยาแอร์ที่นำมาเติมเป็นชนิดเดียวกัน ห้ามใช้คนละชนิดมาผสมกัน
- การเติมน้ำยาแอร์ R-22 และ R-32 สามารถเติมส่วนที่น้ำยาขาดเพิ่มเข้าไปได้เลยเนื่องจากเป็นสารเชิงเดี่ยวไม่มีสารผสมสารใดเพิ่มเติม แต่น้ำยาแอร์ R-410A เป็นสารผสมต้องถ่ายน้ำยาแอร์เดิมออกมาให้หมดก่อนทุกครั้งก่อนเติมน้ำยาใหม่ หากไม่ได้ถ่ายน้ำยาแอร์เก่าออก จะทำให้สัดส่วนของน้ำยาแอร์ไม่สมดุล
- ควรเติมน้ำยาแอร์ให้พอดีกับสเปกของเครื่องที่ระบุไว้ หากมีการเติมน้ำยาแอร์มากเกินกว่าสเปกของเครื่อง ก็จะเกิดอาการ Over Charge ที่จะส่งผลให้แอร์ไม่เย็นได้
- การเติมน้ำยาแอร์ควรชั่งน้ำหนักของปริมาณของน้ำยา เพื่อให้เป็นไปตามการออกแบบมาตรฐานของเครื่องปรับอากาศ