9เทคนิค การใช้แอร์อย่างไรให้ประหยัดไฟ

9เทคนิค-ใช้แอร์อย่างฉลาด

การใช้แอร์ บางครั้งอาจทำให้ค่าไฟสูงกว่าที่คิดไว้ โดยเฉพาะการใช้มากเกินความจำเป็นในช่วงฤดูร้อน ค่าไฟมักสูงกว่าช่วงฤดูอื่นๆ เป็นต้นเหตุทำให้ค่าไฟบานปลายได้โดยที่คาดไม่ถึง

1.ตำแหน่งที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศไม่เหมาะสม

ต้องเริ่มจากการคัดเลือกตำแหน่งที่ต้องติดตั้งตั้งแต่เริ่ม ควรติดตั้งในทิศที่ไม่ใช่ทิศตะวันตก เนื่องจากบริเวณนั้นจะโดนแสงอาทิตย์ส่องในช่วงบ่ายทำให้ร้อน ควรติดในที่โล่งไม่เป็นมุมอับ ไม่ใกล้ประตูหน้าต่างเพราะความร้อนจะเข้ามาได้ เหล่านี้ล้วนแล้วจะทำให้แอร์ทำงานหนัก เปลืองไฟได้ทั้งสิ้น

2.เครื่องปรับอากาศเก่าเกินไป

การใช้แอร์ตัวเดิมที่ใช้งานมานานหลายปีแล้ว ก็ไม่ควรลืมว่าแอร์เก่า อายุงานเยอะถึงแม้ภายนอกจะยังดูสวยงามอยู่ก็ตาม ดังนั้น จึงควรคำนึงถึงการกินไฟของแอร์ด้วย เพราะแอร์จะมีอายุการใช้งาน 15ปี โดยระบบภายในอาจมีการเสื่อมและกินไฟมากก็เป็นได้ ทางที่ดีควรพิจารณาหาแอร์ตัวใหม่มาเปลี่ยนจะดีกว่า

3.แอร์มีค่าBTUสูงเกินไป

หลายคนยังมีความเชื่อว่าถ้าใช้แอร์ที่มีค่า BTU สูงจะทำให้ห้องเย็นสบายในราคาที่ต้องจ่ายค่าไฟไม่มาก ซึ่งในข้อนี้ไม่เป็นความจริงเลยไม่ว่าแอร์จะมีค่า BTU สูงหรือต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของห้อง ดังนั้นก่อนการติดตั้งแอร์ทุกครั้งต้องคำนวณค่า BTU ที่เหมาะสมเสียก่อนซึ่งในแต่ละห้องก็จะใช้ค่า BTU ไม่เท่ากัน เช่น

  • ห้องนอน 700 - 750 BTU/ตรม.
  • ห้องครัว ห้องกินอาหารมีการใช้ความร้อน 800 - 950 BTU/ตรม.
  • ห้องนั่งเล่น 750 - 850 BTU/ตรม.
  • ห้องทำงาน 800 - 900 BTU/ตรม.
  • ห้องประชุม 850 - 1,000 BTU/ตรม.

หากต้องการเลือกติดตั้งแอร์ขนาดใดให้เหมาะกับห้องนั้นๆ ก็ให้นำขนาดของห้องคูณกับจำนวน BTU/ตรม.ดังกล่าว ก็จะได้ขนาดของแอร์ที่เหมาะสม ซื่งแอร์ที่เหมาะสมช่วยให้ห้องมีความเย็นที่เพียงพอและยังไม่กินไฟอีด้วย

วิธีการเลือกแอร์ – สบาย แอร์ (sabuyair.com)

4.ตั้งแอร์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำ

หลายคนยังมีความเข้าใจที่ผิดว่า ห้องที่สบายควรมีความเย็นมากๆ และต้องปรับให้เย็นเร็วๆซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจกันเลย เนื่องจากห้องจะเย็นมากๆ เย็นช้าหรือให้ความเย็นเร็วนั้น มีการใช้เวลาในการให้ความเย็นเท่ากับการปรับอยู่ที่อุณหภูมิปกติทั้งสิ้น ดังนั้นการทำเช่นนี้นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์ในแง่การให้ความเย็นแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองการใช้ไฟฟ้าอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึงอีกด้วย

5.เปิด - ปิด แอร์บ่อยเกินไป

ข้อนี้ก็เช่นกัน โดยมักเกิดจากความเข้าผิดคิดว่า หากไม่ใช้แล้วปิด เมื่อต้องการใช้แล้วจึงค่อยเปิดจะช่วยให้ประหยัดไฟ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้แอร์เกิดการทำงานหนักเพื่อปรับให้ห้องเย็นสม่ำเสมอหลายครั้ง ส่งผลให้ต้องใช้ไฟฟ้ามาก ซึ่งจะเปลืองไฟสูงกว่าการเปิดทิ้งไว้ และปิดน้อยครั้งในแต่ละวันมากกว่า แถมส่งผลให้อายุการใช้งานแอร์สั้นลงยิ่งขึ้นด้วย

6.เปิดพัดลมช่วย

การเปิดพัดลมช่วยขณะที่ห้องยังไม่เย็น จะช่วยให้แอร์ทำงานน้อยลง เพราะเป็นการช่วยทำให้ความเย็นมาสู่คนและห้องได้เร็วขึ้น ช่วยปรับให้อุณหภูมิห้องลงลดได้ 1 - 2 องศา โดยในข้อนี้ทำง่ายๆ เพียงปรับแอร์ในอุณภูมิให้ไม่เกิน 27 องศาแอร์ก็จะไม่กินไฟและไม่ทำงานหนักจนเกินไปได้แล้ว

7.ปรับแอร์ขึ้นเฉพาะกลางคืน (ปรับให้อุณหภูมิสูงขึ้น)

กลางคืนเป็นช่องที่อากาศจะเย็นสบายมากกว่าช่วงกลางวัน ดังนั้นสามารถทำได้ด้วยการปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น 1 - 2 องศาได้เลย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้แอร์ไม่ทำงานหนัก หรือประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นนั่นเอง

8.ปิดห้องให้มิดชิด

โดยเฉพาะห้องที่มีประตูหน้าต่างหลายๆบาน การปิดประตูหน้าต่างทุกบาน จะช่วยไม่ให้อุณหภูมิจากภายในไหลออกไปด้านนอก และอุณหภูมิภายนอกที่ร้อนกว่าไหลเข้ามาภายในห้อง หากละเลยข้อนี้จะทำให้แอร์ทำงานหนักกว่าจะปรับให้ห้องเย็นได้ทั่วถึง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากอีกเช่นกัน

9.ควบคุมเวลาในการใช้

ในการตั้งค่าของแอร์ในโหมดของเวลา สามารถตั้งเวลาเปิด - ปิดได้ ดังนั้นหากเวลาใดที่ห้องเย็นแล้วก็สามารถปิดและเปิดพัดลมช่วยได้เลย เช่น ในเวลาเช้ามืดอากาศมักเย็นกว่าช่วงกลางคืน การตั้งเวลาของแอร์ก็สามารถกำหนดเวลาได้ว่าจะให้ปิดในเวลาตี 3 - 5 หรือตามเวลาที่สะดวกได้เลย

การประหยัดไฟและช่วยไม่ให้แอร์ทำงานหนักนั้น นอกจากความรู้ความเข้าใจ ในการใช้แอร์เบื้องต้นแล้ว การดูแลรักษาแอร์ก็มีส่วนสำคัญมาก ที่จะช่วยให้ค่าไฟลดลงได้ โดยควรล้างแอร์ ปีละ 2 ครั้ง บางคนคิดว่าแอร์ยังเย็นสบายอยู่ไม่จำเป็นต้องล้างเพราะสิ้นเปลืองค่าจ้างช่าง ซึ่งจริงๆ แล้วแอร์เมื่อใช้ไปนานๆ ย่อมเกิดความสกปรก ทำให้แอร์ทำงานหนัก การเสียเงินเพื่อดูแลแอร์ย่อมคุ้มค่ากว่าเพราะในระยะยาว นอกจากค่าไฟจะลดลงแล้วแอร์ก็ยังใช้งานได้นาน ไม่เสียง่ายกว่าแอร์ที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาเลยนั่นเอง